.
.
เรื่อง : Judas
ภาพ : opt
.
.
มันเป็นความฝันที่แปลกประหลาดน่าดู
.
ผมรู้ว่ามันเป็นความฝัน แม้ว่าผมจะยังไม่ตื่นขึ้นจากมันก็ตามที
.
ที่ผมรู้ก็เพราะมันแปลกประหลาดเกินไปกว่าที่มันจะเป็นความจริง ถึงแม้ว่าอะไรหลายต่อหลายอย่างมันจะใกล้เคียงกับความจริงก็เถอะ
.
.....................................................
.
สายแล้ว ผมรีบเร่งใส่รองเท้า รู้สึกไม่ดีแปลกๆ บอกไม่ถูก ดูนาฬิกาข้อมือตามความเคยชิน เพื่อที่จะพบกับความว่างเปล่า นาฬิกาสายขาดไปตั้งแต่เมื่อวาน และผมยังไม่ได้เอาไปซ่อม แต่คะเนจากนาฬิกาเรือนในห้องนอน ตอนนี้ก็น่าจะเกินเวลานัดไปมากโขแล้ว
.
ผมล็อคลูกบิดประตูบ้าน จากนั้นล็อกซ้ำด้วยแม่กุญแจขนาดใหญ่ เขย่าและดึงกุญแจซ้ำๆไปมาให้แน่ใจว่ามันล็อคแล้ว คนที่เดินผ่านไปมามองดูด้วยความสงสัยว่ากุญแจบ้านผมมีอะไรผิดปกติ แต่ที่จริงแล้ว ที่ผิดปกติคือตัวผมต่างหาก ผมติดนิสัยเขย่ากุญแจหรือลูกบิดซ้ำๆมาตั้งแต่ครั้งที่เริ่มมีอะไรมาให้ล๊อค ให้รับผิดชอบ บางทียืนเขย่ามันอยู่ตั้งสี่ห้านาที ออกเดินไปแล้วเดินย้อนกลับมาเขย่าใหม่ก็มี หมอบางคนให้ความเห็นอย่างไม่เป็นทางการว่าผมเป็นออทิสติกแบบอ่อนๆ
.
พอละมือจากกุญแจ ผมก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งข้ามถนน เพื่อจะไปที่ป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้าม แล้วความรู้สึกอะไรบางอย่างก็แวบเข้ามาในหัว ผมอยากตรวจดูกุญแจซ้ำอีกสักรอบว่ามันเรียบร้อยดีหรือเปล่า ทั้งๆที่รู้นั่นแหละว่ามันเรียบร้อยดีแล้ว แต่ยังไงล่ะ ถ้าผมไม่กลับมาเช็คอีกทีตามความรู้สึกกังวลที่แวบขึ้นมา ผมก็จะไม่สบายใจไปทั้งวัน วนเวียนคิดอยู่แต่เรื่องกุญแจ กุญแจ กุญแจ..
.
รถเมล์คันที่ต้องขึ้นกำลังวิ่งเข้าป้าย ผมละล้าละลังอึดใจหนึ่ง สุดท้ายตัดสินใจหันหลังกลับไปบ้าน
.
เสียงเบรค เสียงหวีดร้อง ความรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างมาปะทะอย่างแรง พื้นดินหายไป เสียงกระดูกหัก โลกตีลังกา ถนนเหมือนจะพลิกขึ้นมาแทนที่ท้องฟ้า แต่ต่ำกว่ามาก ต่ำจนกระทบกับหัวผมดังโพล๊ะ
.
แล้วทุกอย่างก็มืดดับไปเหมือนกับหนังฟิล์มขาด..
.
..............................................................
.
ผมรู้ตัวขึ้นมาได้เองว่าผมตายแล้ว
.
ตายแล้วเห็นอะไร?
.
ใครจะเห็นอะไรผมไม่รู้ แต่ผมเห็นภาพอดีต ตั้งแต่วัยเด็ก ไล่เรื่อยพรั่งพรูมาจนถึงวัยรุ่น วัยทำงาน เหมือนภาพทั้งหมดมันโผล่พรวดขึ้นมาพร้อมกันในทีเดียว แต่ผมก็มองเห็นมันทั้งหมดไม่มีตกหล่น ไม่มีปัญหาในการเรียงลำดับก่อนหลัง บางภาพแจ่ม บางภาพจาง ภาพเธอคนนั้นไม่แจ่ม ไม่จาง หากแต่ชัดเจน ไม่ว่าภาพเธอปรากฏขึ้นที่ใด เมื่อใด ผมจะเห็นมันโดดเด่นออกมาจากภาพอื่นๆได้ทันที
.
เธอคนนั้น.. เธอคนที่แต่งงานไปแล้ว และกำลังจะมีลูกคนที่สอง
.
ทำไมผมไม่ลืมเธอนะ
.
ความทรงจำบางประเภท เป็นความทรงจำที่ไม่ได้มีไว้เพื่อลืม หากแต่เพื่อเฝ้ามอง เพื่อหวนนึกถึงความสุข ความหวาน ขณะเดียวกัน ก็รู้สึกถึงความเศร้า ปวดร้าว และโหยหา จากนั้นเราก็จะเก็บซุกมันไว้ที่ห้วงลึกของใจ เพื่อจะดึงมันขึ้นมาเสพรสชาติของความเจ็บปวดอันฉ่ำหวานในครั้งต่อไป เสพมันเหมือนกับเป็นยาเสพติด
.
ความทรงจำถึงเธอเป็นความทรงจำประเภทนั้น
.
.
นอกจากเรื่องความรักแล้ว ก็มีภาพของเรื่องราวอื่นๆ เรื่องราวที่ปกติธรรมดา ไม่มีความสำเร็จใดๆที่โดดเด่น
.
ภาพที่ฉายย้อนไปย้อนมาวูบวาบรอบตัว แสดงให้เห็นเด็กชายรูปร่างปานกลาง ผลการเรียนปานกลาง กีฬาอ่อน ไม่มีหัวทางดนตรี ไม่มีหัวทางศิลปะ ไม่ใช่เด็กที่ดีเด่นในด้านใดพอที่ครูจะมาเอ็นดู และไม่ใช่เด็กที่เกเรก๋ากั่นจนครูทั้งรักทั้งเกลียด ในใบสมุดรายงานผลการเรียนตรงช่องความประพฤติ มักจะมีแต่ข้อความ ..เรียบร้อย ร่าเริง เอาใจใส่การเรียน เข้ากับเพื่อนได้ดี.. อันเป็นสูตรสำเร็จ เวลาที่ครูไม่รู้จะหาอะไรมาเขียนลงในสมุดพก
.
เคยอยากเป็นหมอ แต่หัวก็ไม่ดีพอที่จะได้เป็น เคยอยากได้เงินเดือนสูงๆ แต่ไม่เคยมีผลงานอะไรไปต่อรองเพื่อขอขึ้นเงินเดือนได้ ไม่ว่ากับบริษัทเก่าหรือบริษัทใหม่ เป็นเพียงคนธรรมดาที่ธรรมดาจนน่าน้อยใจ ใครบางคนเคยบอกว่า ทุกชีวิตมีจุดมุ่งหมายในการเกิดมา พระเจ้าทรงมอบภาระหน้าที่บางอย่างให้กับเขา หน้าที่ซึ่งจะมีเพียงเขาคนเดียวที่ทำมันได้ ผมถามตัวเองบ่อยๆว่าหน้าที่ของผมที่ถูกกำหนดมาให้ทำคืออะไร แต่ก็ดูเหมือนว่า ผมจะไม่ได้เกิดมาเพื่อที่ทำอะไรโดยเฉพาะเจาะจง นอกจากเกิดมาเพื่อที่จะตายไป ก็แค่นั้น
.
และตอนนี้ผมก็ตายแล้ว ตายโดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรที่มีคุณค่าเลยแม้แต่อย่างเดียว
.
หรือว่าบางที อาจมีภาระหน้าที่ที่ผมได้รับมอบหมายมารอผมอยู่ที่อนาคตข้างหน้า หากแต่ว่าผมมาด่วนตายไปเสียก่อนก็เป็นได้
.
นั่นสินะ..
.
แล้วถ้ามี ภาระหน้าที่ที่ผมไม่ได้ทำนั่นมันคืออะไรกัน? ถ้าผมเชื่อว่าทุกชีวิตมีจุดมุ่งหมายที่จะเกิดมา ผมก็อาจจะเป็นคนสำคัญที่มาด่วนตายก่อนจะค้นพบความสำคัญของตัวเองก็ได้ ถ้าผมมีชีวิตอยู่ต่อ ผมอาจเป็นบุคคลยิ่งใหญ่คนหนึ่ง ใครจะไปรู้
.
พระเจ้ามีจริงไหมนะ ? ถ้ามีจริง ผมอยากรู้ว่าภาระหน้าที่ที่ผมได้รับมอบหมายและยังไม่ได้กระทำคืออะไร พระเจ้าน่าจะบอกผมได้
.
..ผมอยากพบพระเจ้า..
.
ผมตะโกนมันออกมา ท่ามกลางความเงียบงันที่เวิ้งว้าง ผมไม่ได้ยินเสียงตัวเองที่ตะโกนออกไป แต่รู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างเปลี่ยนแปลง ภาพที่วูบวาบที่ปรากฏอยู่รอบตัวตกลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว ไม่รู้สิ บางทีอาจเป็นผมที่ลอยขึ้นสูงก็ได้ มีอะไรบางอย่างสว่างจ้าแสบตาเสียจนต้องหรี่ตามอง พอคุ้นชินกับแสงสว่างนั้นผมก็เห็นร่างหนึ่งเดินเข้ามาหา
.
“พระเจ้า” ผมอุทานออกมาเองโดยอัตโนมัติ
.
.
.
.
ผมแน่ใจว่าผมกำลังฝัน และในความฝัน การที่เราจะรู้อะไรๆได้เองโดยไม่มีเหตุผลนั้นเป็นเรื่องปกติ
.
พระเจ้าหน้าตายังไง ผมบอกไม่ถูกเหมือนกัน ผมเห็นหน้า เห็นรูปร่าง เห็นบุคลิก เห็นเหมือนที่บุคคลหนึ่งสมควรจะเห็นอีกบุคคลหนึ่ง แต่ก็เหมือนไม่เห็น คือผมรู้สึกว่าพระเจ้าน่ะท่านมีรูปร่าง จับต้องได้ แต่หาคำอธิบายออกมาไม่ได้ ประมาณนั้น
.
“เจ้าเรียกเรารึ ?” ผมผงกหัวรับ
.
“เจ้าสงสัย ?” ผมผงกหัวอีกครั้ง
.
“ถามเรามาสิ” คราวนี้ผมไม่ผงกหัว ผมคิดและก็คิดอย่างหนัก ก่อนจะรวบรวมความกล้าเอ่ยคำถามออกมา
.
“ผมมีเหตุผลจำเพาะ มีหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ในการไปเกิดเป็นคนหรือไม่ ? ทำไมเหมือนกับว่าผมทำอะไรไม่เคยสำเร็จสักอย่างในตลอดทั้งชีวิต ?”
.
ผมเห็นพระเจ้ายิ้ม
.
“ไม่สำเร็จรึ ? เจ้าทำมันเรียบร้อยแล้วต่างหาก” ผมพยายามทบทวน ตลอดชีวิตที่ผ่านมา มีอะไรบ้างที่พอจะเรียกได้ว่ามันคือความสำเร็จ คำตอบคือไม่มี
.
“ผมคิดว่า ผมน่าจะยัง..”
.
“เจ้าทำมันเรียบร้อยแล้วหละ สำหรับหน้าที่ที่เจ้าได้รับมอบหมาย”
.
“งั้น..” ผมเริ่มสับสน ไม่แน่ใจ “หน้าที่ที่ผมได้รับคืออะไร ? ทำไมผมถึงไม่รู้สึกเลยว่าผมได้ทำหน้าที่อะไรที่ยิ่งใหญ่ ?”
.
.
พระเจ้ายิ้มอีกครั้ง
.
“เจ้าจำสาวคนรักของเจ้าที่ทอดทิ้งเจ้าไป เพราะเจ้าไม่มีอนาคตได้ไหม ?” ผมรู้สึกเจ็บแปลบๆเมื่อได้ยินคำถามนี้ เลยได้แค่ผงกหน้ารับ
.
“สาวคนนั้นเดิมก็เป็นแค่เพียงสาวช่างฝันทั่วไป ไม่มีจุดมุ่งหมายชัดเจนในชีวิต แต่เมื่อได้พบกับเจ้า คบกับเจ้า ได้เรียนรู้ถึงความไม่มั่นคงของชีวิตจากเจ้า เขาจึงทิ้งเจ้าไปแต่งงานกับชายอีกคนซึ่งมีความมั่นคงในชีวิตมากกว่า มีฐานะดีกว่า” ผมผงกหัวรับความจริง ความจริงที่ผมรู้ชัดเจนมาตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน
.
“เจ้ารู้ไหม ว่าลูกคนที่สองของสองคนนั้นจะเติบโตขึ้นเป็นจิตรกรที่ยิ่งใหญ่แห่งยุค สร้างผลงานมากมาย เป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นหลังเดินตาม”
.
“หากไม่มีเจ้า เธอคนนั้นคงไม่ยอมแต่งงานกับ ชายขี้โมโหเจ้าอารมณ์ที่มีเพียงแค่ความมั่นคงในชีวิต ลูกของเธอก็คงไม่เกิดขึ้นท่ามกลางทรัพย์สมบัติ และความกดดันทางจิตใจของพ่อ และเปลี่ยนความขัดแย้งนั้นเป็นงานศิลปะได้หรอก”
.
“นั่นคือหน้าที่ของผมหรือ..” ผมได้ยินเสียงตัวเองคราง
.
“ใช่” พระเจ้าเอ่ยต่อ “นอกจากนี้ เจ้ายังจำเพื่อนร่วมงานของเจ้า คนที่แซงหน้าคว้าตำแหน่งผู้จัดการทั้งๆที่มีอายุงานน้อยกว่าเจ้าได้ไหม”
.
“จำได้สิ” ทำไมผมจะจำไม่ได้ มันชื่อไอ้เจษฏ์ ประจบประแจงเป็นหนึ่ง เห็นแก่ตัวอย่างวายร้าย แต่ก็ฉลาดมากเช่นกัน
.
“ถ้าคู่แข่งของเจษฏ์ไม่ใช่เจ้า หากแต่เป็นคนอื่นที่มีความสามารถกว่าเจ้า หมอนั่นคงไม่มีทางเติบโตในหน้าที่การงานได้รวดเร็วอย่างนี้”
.
“และนั่นคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้บริษัทนี้ก้าวหน้าเมื่อได้ผู้บริหารที่มีความสามารถและมีหัวการค้า เข้ากับคนได้ทุกระดับ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าบริษัทนี้จะกลายเป็นบริษัทระดับประเทศ ส่งผลกระทบกับใครต่อใครอีกมากมาย”
.
ผมพูดไม่ออก หน้าที่ของผมเหมือนไม่ใช่หน้าที่..
.
“นั่นก็คือหน้าที่ของผม ?”
.
“ก็ใช่ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ข้ามอบหมายให้เจ้าไปทำ”
.
“.....”
.
“เจ้ารู้มั๊ยว่าเจ้าตายเพราะอะไร?”
.
“รถชน..มั้ง”
.
“อืมม” พระเจ้ายังคงเล่าต่อไปเรื่อยๆ “ แล้วเจ้ารู้ไหม ว่ารถคันนั้นคือรถของคนร้ายที่เตรียมตัวจะไปดักซุ่มยิงบุคคลสำคัญคนหนึ่ง เมื่อมาชนเจ้า รถคันนั้นถูกจับกุม แผนทุกอย่างล้มเหลว และต่อไปบุคคลสำคัญที่รอดชีวิตคนนั้นจะกลายเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของประเทศ”
.
“เป็นยังไงบ้าง หน้าที่ของเจ้ายิ่งใหญ่พอหรือยัง ?”
.
“..............................”
.
.
.
.
“ผม..” มันเหมือนมีอะไรอัดอั้นอยู่ข้างในเต็มไปหมด แต่ผมไม่รู้ว่าผมจะพูดมันออกมายังไงดี “ผม..”
.
“หน้าที่ผมคือเกิดมาเพื่อเป็นผู้แพ้ยังงั้นรึ?” ในที่สุดผมก็โพล่งออกมา มันไม่ตรงกับที่คิดนัก แต่ผมก็พูดมันออกมาแล้ว “นั่นคือหน้าที่ของผมยังงั้นรึ ?”
.
“ทุกผู้ชนะย่อมต้องการผู้แพ้” พระเจ้าพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “เจ้าคิดว่าเราจะกำหนดให้ผู้หนึ่งเป็นผู้ชนะได้อย่างไร หากไม่กำหนดผู้ที่จะแพ้ให้กับเขา ?”
.
“มันไม่ยุติธรรม” ผมคราง ทำไมคนอื่นได้เกิดเพื่อที่จะเป็นผู้ชนะ ส่วนผมเกิดเพื่อให้เขาเหล่านั้นได้รับชัยชนะ
.
“วีรกรรมของเจ้าน่ะยิ่งใหญ่” พระเจ้าพูด “ถ้าไม่มีผู้พ่ายแพ้ เขาเหล่านั้นก็ไม่มีทางฝากชื่อไว้ในฐานะผู้ชนะ ชะตากรรมของเขาไม่มีวันปรับเปลี่ยนไปในทิศทางที่มันควรจะเป็น ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า”
.
“ความพ่ายแพ้ของเจ้า ความเจ็บปวดของเจ้า ความล้มเหลวของเจ้า กระทั่งท้ายที่สุด..ชีวิตของเจ้า มีส่วนสร้างสิ่งยิ่งใหญ่ให้กับโลกมากมาย ความสำคัญของเจ้าไม่น้อยกว่าผู้ชนะหรือผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายหรอก” ฟังดูมีเหตุผล แต่มันก็ทำให้ผมทำใจรักความอ่อนแอของตัวเองขึ้นมาไม่ได้อยู่ดี
.
“ทุกความพ่ายแพ้ให้กำเนิดชัยชนะเสมอ” พระเจ้าสรุป
.
“แต่..” ผมอ้าปากจะค้าน พระเจ้ายกมือขึ้นห้าม
.
“เรื่องนี้เอาไว้คุยกันทีหลัง หมดเวลาแล้ว” หมดเวลา ? หมดเวลาอะไร หมดเวลาฝันสินะ ผมกำลังฝันอยู่นี่ ฝันบ้าบอเพราะความฟุ้งซ่าน เมื่อคืนคงดื่มหนักไป ผมสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ดื่มเหล้ามากมายยังงี้อีก มันทำให้ฝันไม่ดี
.
รู้สึกวูบเหมือนโดนกระตุกพื้นออกจากเท้า ผวาเหยียบอากาศที่ว่างเปล่าเพื่อที่จะพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงนอนสีมอๆที่คุ้นเคย
.
ผมฝันไปจริงๆ
.
ดูนาฬิกา แปดโมงครึ่งกว่าแล้ว ผมมีนัดกับลูกค้าตอนเก้าโมง รีบเข้าห้องน้ำ อาบน้ำแต่งตัว คว้ารองเท้ามาใส่ ยกนาฬิกาขึ้นมาดูตามความเคยชิน อ้อ..สายขาดตั้งแต่เมื่อวานสินะ ยังไม่ได้ซ่อมเลย
.
ล็อคประตูอยู่พักใหญ่ เดินข้ามถนนไปป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้าม พอถึงกลางถนนกลับรู้สึกไม่สบายใจเหมือนว่าไม่ได้ล็อคประตู พอตัดสินใจหันหลังกลับ ภาพความฝันเมื่อคืนก็แวบเข้ามาในหัว
.
.
.
เสียงรถเหยียบเบรคดังสนั่น..
.
.
.................................................................
.
.
7.10.50
ฝันประหลาด
ของ โอพีที ที่ 10:05
tag: เรื่องสั้น+ภาพประกอบ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ชอบเรื่องนี้ อ่านแล้วคิดถึงตัวเอง ขอขอบคุณjudas สำหรับเรื่องสั้นนี้
ตอบลบ