เรื่อง: judas
ภาพ: opt
.
.
.
.
.
ตอนที่ 1
.
.
.
เปาะ แปะ เปาะ แปะ
.
ยุงชุมจัง
.
ผมเอามือเขียวๆที่มียางเหนียวๆลูบเอาซากยุงออกจากผิวหนังลื่นๆ
.
มันก็ออกจะเสี่ยงอยู่เหมือนกัน ที่ผมออกมานอนคุดคู้บนศาลารอรถข้างทางนี่ ใครอาจจะออกมาเห็นเข้าก็ได้ ถึงมันจะดึกแล้วก็เถอะ
.
แต่ผมก็อยากที่จะเข้าใกล้หมู่บ้านขึ้นมาอีกนิด ได้ใกล้ๆแสงไฟขึ้นอีกหน่อย
.
มันอบอุ่นดี
.
.
.
.
นี่กี่วันแล้วนะ
.
ผมยกนิ้วที่มีข้างละสี่นิ้วขึ้นมานับ
.
ถ้าให้เขียนเป็นภาษาโลกมนุษย์ก็ 15 วัน
.
ถ้าเป็นภาษาบ้านผมก็ 17 วัน
.
อ๋อ ผมลืมบอกไปสินะ
.
ว่าที่ที่ผมจากมาน่ะ เค้าใช้เลขฐานแปดกัน
.
.
.
.
ยานตกกลางไร่ข้าวโพด
.
ผมไม่เป็นอะไรมากหรอก ระบบนิรภัยในยานได้รับการออกแบบมาอย่างดี
.
แต่ตัวยานเสียหายหนักเอาเรื่อง ที่แย่หนักคือระบบสื่อสารกับยานแม่พัง
.
ผมทดลองแกะๆซ่อมๆอยู่สี่วัน ทำท่าจะมีความหวังว่าจะซ่อมได้ อย่างน้อยก็น่าจะพอติดต่อกับยานแม่ได้
.
ดันโชคร้ายสุดๆ ที่มีคนมาเจอยานผม แล้วก็ลากไปไหนก็ไม่รู้ ท่าทางแตกตื่นกันใหญ่
.
ดีนะที่ผมออกไปหาน้ำกินที่แอ่งน้ำไกลออกไป ไม่งั้นคงโดนจับไปพร้อมกับยาน
.
.
.
.
หลังจากนั้นก็มีคนมาค้นหาตัวผมนะ
.
แต่เค้าหาไม่เจอหรอก
.
ผมตัวไม่ใหญ่ สูงแค่เอวพวกคุณเอง
.
แค่ผมซ่อนเงียบอยู่ในไร่ข้าวโพดก็ลำบากที่จะมองเห็นแล้วหละ
.
.
.
.
ปัญหาใหญ่นอกจากเรื่องจะกลับบ้านยังไงคือเรื่องอาหาร
.
ผมกินอาหารที่พวกคุณกินกันได้อยู่นะ
.
แต่ปัญหาคือจะหาอาหารมาจากไหนแค่นั้นแหละ
.
ไอ้ครั้นจะให้ไปด้อมๆจับปูจับปลากินรึก็ลำบาก
.
เกิดงูเงี้ยวกัดตายขึ้นมาก็ไม่ได้กลับดาวกันพอดี
.
.
.
.
ผมทนหิวอยู่ได้สี่วัน หัวใจที่อกข้างซ้ายก็หยุดเต้น
.
นี่ดีนะที่อีกดวงที่อกข้างขวามันยังทำงานปกติน่ะ
.
เช้าวันที่ 5 ผมนอนพะงาบๆ น้ำเหนียวๆไหลเยิ้มทั่วตัวอยู่ริมถนนลูกรัง
.
ตอนนั้นผมคิดว่าผมคงตายแน่ๆ
.
พอถึงเวลาจริงๆผมก็ไม่ได้กลัวตายสักเท่าไหร่หรอกนะ
.
แค่รู้สึกใจหาย
.
ผมอยากกลับไปตายที่บ้าน..
.
.
.
.
แต่วันนั้นโชคดี มีมนุษย์หัวล้านๆนุ่งชุดเหลืองๆผ่านมา
.
พวกคุณเรียกกันว่าพระ? ใช่ไหม? ผมคงจำไม่ผิด
.
พระหยุดมองผม ผมก็มองท่านทั้งๆที่นอนหมดแรงอยู่นั่นแหละ
.
ถ้าเป็นธรรมดาผมคงหนีไปแล้ว แต่ตอนนั้นผมหนีไม่ไหวจริงๆ
.
ผมคิดว่าตอนนั้นท่านคงรู้แล้วหละว่าผมเป็นมนุษย์ต่างดาว ข่าวออกจะดัง
.
แต่ท่านก็ไม่ยักกะตกใจแฮะ
.
พระมองผมนิ่งๆอยู่สักพัก
.
แล้วก็เปิดกระป๋องใบโตๆดำๆที่อุ้มมาด้วย หยิบข้าวมากำมือนึง ต้มจืดอีกถุงนึง มาวางไว้ข้างๆผม แล้วท่านก็เดินไป
.
ผมกัดก้นถุงแกงจืดดูดกินทั้งน้ำ ทั้งเนื้อ
.
นั่นแหละที่ทำให้ผมรอดตายมาได้
.
.
.
.
ตั้งแต่วันนั้น ผมก็มาดักรอพระที่เดิมทุกวันท่านก็แบ่งอาหารในกระป๋องมาให้ทุกวัน
.
เออ..
.
ตอนนี้ผมกินข้าวเป็นแล้วนะ
.
.
.
.
ภาษามนุษย์ผมพอรู้มั่ง งูๆปลาๆให้คล่องเลยคงไม่ได้ เพราะมนุษย์มีภาษาเยอะ พวกผมก่อนมาทำงานก็ต้องเรียนกันคนละหลายๆภาษาตามแต่บริเวณที่จะไปทำงาน
.
ผมรู้หมดนะ ทั้งภาษาจีน ไทย เขมร ลาว พม่า มลายู
.
แต่ก็อย่างที่บอกไม่คล่องสักภาษา
.
ฟังได้อ่านได้ แต่จะให้พูดก็ยังขัดๆเขินๆอยู่
.
กลัวสำเนียงไม่ได้น่ะ
.
.
.
.
เปาะ แปะ เปาะ แปะ
.
.
ยุงชุมชะมัด
.
ผมมองดูดาวบนฟ้า
.
คุณรู้จักดาวนายพรานกันใช่ไหม
.
ดาวของผมน่ะ อยู่แถวเข็มขัดนายพราน ถ้ามองจากโลกนะ
.
นี่ผมยังนึกไม่ออกเลย ว่าจะกลับบ้านยังไงดี ยานก็ไม่มีแล้วด้วย
.
ตอนอยู่ที่โน่นน่ะ ผมไม่เคยรักดาวของผมมากขนาดนี้มาก่อนเลยนะ
.
ไอ้นั่นก็ไม่ดี ไอ้นี่ก็แย่
.
แต่ตอนนี้..
.
.
อะไรๆเกี่ยวกับดาวผม มันก็เหมือนจะดูดีไปเสียทั้งนั้น
.
.
.
.
ก่อนผมมา มีหลายคนเคยถามว่าทำไมผมชอบเดินทาง เดินทางเพื่ออะไร
.
ผมตอบอะไรที่เท่ห์ๆไปตั้งหลายอย่างแน่ะ
.
ผมออกเดินทางเพราะความรักในการผจญภัย เพื่อแสวงหาความท้าทาย ไปเพื่อการค้นพบสิ่งแปลกๆใหม่ๆ ที่ดีกว่าเดิม สวยงามกว่าเดิม หรือเพราะเพื่อต้องการเรียนรู้อวกาศที่กว้างใหญ่ ฯลฯ
.
แต่ตอนนี้ ถ้าใครมาถามผมตอนนี้ด้วยคำถามเดิมนะ
.
ผมจะบอกว่า
.
.
ผมออกเดินทาง เพื่อที่จะได้เรียนรู้ตัวเอง
.
ผมออกเดินทาง เพื่อที่จะค้นพบความสวยงามในสิ่งเดิมๆเก่าๆ ที่คุ้นชินและจำเจ
.
ผมออกเดินทาง เพื่อที่จะได้ “เห็น” ในสิ่งที่เคย “มอง” แต่ไม่เคย “เห็น”
.
ผมออกเดินทาง เพื่อที่จะได้พบกับ “ความรัก” ที่ไม่เคยรู้ว่ามี ซ่อนอยู่ข้างในใจของผม
.
.
.
.
ที่จริงแล้ว..
.
ผมออกเดินทาง เพื่อที่จะได้กลับไป
.
.
.
.
แต่ว่าผมจะกลับไปยังไง ผมก็ยังไม่รู้เหมือนกัน...
.
.
.
ตอนที่ 2
.
.
แสงจันทร์ส่องลอดช่องระหว่างเสาไม้ฉายเข้ามาที่ใต้ถุนศาลาวัด
.
อีกกี่วันนะ นับนิ้วแปดนิ้วของผมดู
.
เหลืออีก 7 วันแค่นั้นเอง
.
.................................
.
ประแจ ไขควง อุปการณ์ต่างๆทั้งหลายของโลกมนุษย์นี่จับลำบากชะมัด
.
ทุกอย่างเหมือนถูกออกแบบมาให้ใช้ร่วมกับนิ้วหัวแม่มือทั้งหมด
.
ผมไม่มีนิ้วสั้นๆ ที่แข็งแรงแบบหัวแม่มือ ตรงริมสุดด้านในของมือก็เป็นแค่นิ้วที่ยาวๆเท่าๆกับนิ้วอื่น ไม่ได้แข็งแรงไปกว่ากันนัก
.
ก็ลำบากอยู่เหมือนกันในตอนแรกๆ แต่ตอนนี้เริ่มชิน..
.
.
.
.
ผมกำลังซ่อมยานของผมอยู่
.
ซ่อมมันด้วยความหวังที่จะได้กลับบ้าน
.
หลังจากยานของผมถูกยึดไปเมื่อสามสี่เดือนก่อน ก็มีข่าวจากทางราชการออกมาว่า ยานของผมเป็นของปลอม เป็นของแหกตา
.
มีการเอามาออกทีวีด้วยนะ ผมดูจากทีวีที่วัด มีพิธีกรรายการโน้นรายการนี้มาถ่ายทำกันด้วย หัวเราะกันใหญ่ ทำนองว่าใครกันนะที่เชื่อว่าไอ้ยานหน้าตาเหมือนของเล่นนี่เป็นยานจริง
.
สุดท้ายหลวงพ่อเลยทำเรื่องขอไปกับทางการ ว่าจะเอายานที่ว่าของเล่นนี่มาตั้งโชว์ไว้ที่พิพิธภัณฑ์ที่วัดได้ไหม แล้วเรื่องก็ถูกอนุมัติอย่างง่ายดาย
.
“ของเล่นชัดๆ ใครมันบ้าเชื่อว่าเป็นของจริงนะ” เจ้าหน้าที่ที่เอายานผมมาส่งให้ที่วัด หัวร่อกันอีกยกใหญ่ก่อนที่จะลาหลวงพ่อกลับไป
.
มนุษย์นี่ก็แปลกนะ
.
เค้าคิดว่ายานของผมเป็นของเล่น เพียงเพราะหน้าตามันไม่เหมือนกับสิ่งที่เค้าคิดว่า “ของจริง” นั้นควรจะเป็น
.
ทำไมเค้าไม่เคยฉุกใจคิดกันบ้าง ว่าภาพของจริงที่เค้าคิดเอาเองนั้น มันอาจไม่จริง?
.
แต่ก็อย่างว่าแหละ นี่ก็คือนิสัยของมนุษย์บนโลกใบนี้ตามที่ผมเรียนมาไม่ใช่หรือ
.
โลกที่เมื่อมันหมุนรอบตัวเองและเคลื่อนไปรอบดวงอาทิตย์ คนบนโลกกลับมองเห็นว่าดวงอาทิตย์นั้นหมุนขึ้นลงวนเวียนอยุ่รอบโลก
.
ทั้งๆที่ตำราทุกเล่มที่โลกนี้มีก็บอกอยู่ทนโท่ว่าโลกเป็นแค่บริวารของดวงอาทิตย์
.
แต่เนื้อแท้ของมนุษย์ก็มักหลงลืม ยึดเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งอยู่ดี
.
.
บางคนบอกว่าความไม่รู้นั้นคือความโง่
.
แต่ผมว่าความ “หลงผิด” ต่างหาก คือความโง่ที่แท้จริง
.
เพราะมันจะทำให้คุณมองไม่เห็นอะไรเลย แม้ว่าสิ่งนั้นมันจะอยู่ตรงหน้าคุณก็ตาม
.
.
หลวงพ่อเอายานมาไว้ที่ใต้ถุนศาลา ที่เป็นพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน ตามที่ได้แจ้งกับทางการ
.
แต่ที่หลวงพ่อไม่ได้แจ้งกับทางการคือ หลวงพ่อให้กุญแจผมไว้ พร้อมทั้งเจียดเงินไปซื้อเครื่องมือช่างที่จำเป็น เท่าที่ผมพยายามวาดรูปให้ท่านดูมาให้ผม
.
เครื่องมือซ่อมแซมบางอย่าง ก็พอมีหลงเหลืออยู่บ้างในยาน
.
อ้อ ผมลืมบอกไป ผมแอบมาอาศัยอยู่ในวัดนานแล้วหละ
.
หลวงพ่อจัดที่พักเป็นกุฏิพระเก่าๆที่ไม่มีใครอยู่ให้ผมพัก แล้วให้ผมออกมาเฉพาะกลางคืน จะได้ไม่มีปัญหา อาหารการกิน ท่านก็เจียดไปวางไว้หน้ากุฏิด้วยตัวเองทุกวัน
.
ผมซาบซึ้งจนไม่รู้จะพูดยังไง ตอนนี้ผมสวดมนต์ได้แล้วนะ หลวงพ่อท่านสอนบทง่ายๆสองสามบทให้
.
.
.
.
ตั้งแต่ได้ยานกลับมา ความหวังที่จะได้กลับบ้านของผมที่เคยเหือดแห้งไปก็กลับคุโชนขึ้นอีกครั้ง
.
จากเดิมที่หมดหวัง ผมเริ่มปรับตัวกับโลกใบนี้ได้ เริ่มกินได้มากขึ้น เริ่มนอนหลับได้นานขึ้น เริ่มเรียนรู้ที่จะรักโลกใบนี้มากขึ้น
.
เค้าเรียกว่าการ “ทำใจ” มั้ง จนผมคิดว่า
.
ผมคงพออาศัยอยู่บนโลกใบนี้ได้..ตลอดไป
.
.
แต่พอยานมาอยู่ที่วัด ผมก็กลับรู้ตัว ว่าผมไม่มีวันอยู่บนโลกใบนี้ได้อีกต่อไป
.
ผมไม่มีวันนั่งมองยานแล้วมีความสุขกับโลกใบนี้ได้อีกแล้ว
.
ผมต้องไป ผมต้องกลับบ้าน
.
.
.
ผมเริ่มซ่อมยานตลอดคืน และนอนในช่วงกลางวัน
.
จากการเช็คสภาพยานและเชื้อเพลิง สารกัมมันตภาพที่เหลืออยู่เพียงพอให้ใช้บินได้อีกนิดเดียวเท่านั้น
.
เป้าหมายของผมคือสถานีสำรวจที่ใกล้ที่สุด ที่พวกผมมาตั้งทิ้งไว้ สถานีที่ไททัน ดวงจันทร์ดวงที่ใหญ่ที่สุดของดาวเสาร์
.
ถ้าผมไปถึงที่นั่นได้ ผมก็จะส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไปยังยานแม่ที่ออกไปจากระบบสุริยะจักรวาลแล้วได้
.
เครื่องส่งสัญญาณที่ตัวยานของผมมันพังยับเกินเยียวยาแล้ว
.
จากเชื้อเพลิงที่เหลือน้อย ผมนั่งคำนวณอยู่ครึ่งค่อนวัน ได้ผลออกมาว่า ผมไม่มีทางขับยานออกพ้นเขตแรงโน้มถ่วงโลกได้เลย
.
ผมเกือบหมดหวัง ถ้าไม่เห็นข่าวว่าจะมีสุริยุปราคา
.
.
.
สุริยุปราคา คือการที่ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์และโลกซ้อนทับอยู่บนเส้นตรงเดียวกัน
.
พูดให้ง่ายคือ ถ้ามองจากโลก จะเห็นเป็นดวงจันทร์อยู่ในแนวเดียวกับดวงอาทิตย์
.
ซึ่งตรงจุดนั้น แรงดึงดูดของดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์จะบวกกันพอดี
.
ถ้าผมออกยานตรงช่วงเวลานั้น มุ่งหน้าเข้าหาทิศสุริยุปราคา แรงดึงดูดนั้นจะหักล้างกับแรงโน้มถ่วงโลก ถึงจะไม่มาก แต่ก็น่าจะมากพอให้ยานผมหลุดออกไปได้ โดยมีพลังงานเหลืออยู่นิดหน่อยหรือไม่เหลือเลย
.
แต่การเดินทางเป็นเส้นตรงในอวกาศไม่ต้องใช้พลังงานอยู่แล้ว
.
ผมแค่ปรับทิศยานตอนก่อนหลุดจากโลกให้หันหน้าไปทางดวงจันทร์ไททันให้ได้เป็นพอ
.
แล้วแรงเฉื่อยของยานกับคอมพิวเตอร์นำทางคงพาผมไปถึงได้ไม่ยาก
.
.
.
ผมคำนวณแล้วคำนวณอีก
.
ลงมือซ่อมอย่างเอาเป็นเอาตาย เวลาน้อยลงเรื่อยๆ
.
บางคืนผมหลับคายาน เช้ามาหลวงพ่อต้องอุ้มผมไปนอนในกุฏิก่อนที่ท่านจะออกบิณฑบาตเพราะกลัวใครจะมาเห็นเข้า
.
สุริยุปราคาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หนังสือพิมพ์ ทีวีเริ่มประโคมข่าวกันใหญ่
.
ยานผมคืบหน้าไปไม่มาก ผมไม่แน่ใจเลยสักนิด ว่าผมจะทำมันเสร็จทันเวลา
.
ที่ข้างกำแพงวัด มีคนเอาโปสเตอร์หนังมาแปะ ผมไปเดินเล่นกลางดึกคืนหนึ่งเพื่อยืดเส้นยืดสายจากงานซ่อมเลยไปเจอเข้า โปสเตอร์ใบนั้นเขียนว่า
.
“ Get Rich, Or Die Tryin’ ”
.
ผมฉีกเอามาแปะที่ข้างยาน ขีดคร่อมคำว่า “Rich” เพราะผมไม่ต้องการรวย
.
แล้วเขียนใหม่เป็น
.
“Get It, Or Die Tryin’ ”
.
ถ้าผมซ่อมมันไม่เสร็จทันเวลา ผมก็ยอมตายมันอยู่ข้างยานนี่แหละ
.
.
กี่คืนแล้วนะที่ผมไม่ได้นอน
.
สามคืน สี่คืน ห้าคืน ผมจำไม่ได้ เหมือนว่ามันเบลอไปหมด
.
หลวงพ่อเดินมาดูเป็นระยะ แต่ท่านก็ไม่ได้ห้ามอะไร ผมคิดว่าท่านคงเข้าใจ
.
.
คุณรู้ไหม เส้นแบ่งระหว่างความสำเร็จกับความล้มเหลวน่ะ มันเป็นแค่เส้นบางๆแค่นั้นเอง
.
คนที่ทำสำเร็จคือคนที่ก้าวข้ามเส้นบางๆนั้นไปได้ แม้เพียงแค่เซ็นต์เดียวก็ตาม
.
ขณะที่คนล้มเหลว อาจเป็นคนที่ขาดไปแค่เซ็นต์เดียวก็จะข้ามเส้นนั้นได้
.
ความเป็นจริงก็คือ เรื่องราวในจักรวาล ไม่ได้ต่อเนื่องเป็นเส้นตรงไปเรื่อยๆ แต่ขยับเป็นลำดับขั้นแบบขั้นบันได
.
มีแค่ได้ กับ ไม่ได้
.
“เกือบได้” ไม่ได้มีความแตกต่างกับ “ไม่ได้อย่างสิ้นเชิง”
.
“ได้แบบฉิวเฉียด”กับ “ได้แบบสบายๆ” ก็ไม่ได้ต่างกัน
.
ผมวางเดิมพันทั้งหมดที่ผมมี เพื่อก้าวข้ามเส้นบางๆที่ว่าให้ได้ ซ่อมยานให้เสร็จทันเวลา
.
.
.
ตีห้าของวันที่จะเกิดสุริยุปราคา ผมซ่อมมันเสร็จ
.
เสียงหลวงพ่อทำวัตรเช้าแว่วมา ผมนั่งยองๆพนมมืออยู่ข้างยาน
.
น้ำตาไหล ไม่รู้ทำไม
.
.
.
.
สายวันนั้น หลังจากผมกินข้าวอิ่ม หลวงพ่อก็มาช่วยลากยานไปไว้ที่ป่าช้าหลังวัด เพื่อรับประกันว่าจะไม่มีใครมาเห็น
.
ทุกอย่างพร้อม เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมง สุริยุปราคาเต็มดวงจะเกิด
.
ผมเข้าไปกราบเท้าหลวงพ่อ
.
ท่านให้พรผมเป็นภาษาบาลี
.
ผมไม่รู้จะตอบยังไงดี ผมเลยสวดอะระหังสัมมาให้ท่านฟังจนจบ
.
ท่านลูบหัวผมแบบเอ็นดู
.
“ไปดีนะ ไอ้เขียว” ท่านพูดแล้วหันหลังเดินจากไป ปล่อยผมไว้ลำพังกับยาน
.
.
.
ตอนนี้ผมนั่งรออยู่ในยานเรียบร้อย ดูนาฬิกานับถอยหลัง
.
มองออกจากหน้าต่างเห็นโปสเตอร์ “Get It, Or Die Tryin’ ” ปลิวหลุดไปตามลม
.
“5-4-3-2-1”
.
.
ฟ้ามืดแล้ว
.
เสียงประทัดดังลั่น
.
นกบินกลับรังกันเป็นหมู่
.
ผมกำลังจะกลับบ้าน
.
.
.
ยานผมพุ่งทะยานวาบขึ้นไปในอากาศ สูงขึ้น สูงขึ้น เหมือนใครบางคนจุดพลุไฟขึ้นฟ้า
.
ในห้องนักบิน ตัวยานเสียดสีกับบรรยากาศโลกจนเสียงดังแสบแก้วหู ทางด้านซ้ายเหมือนมีอะไรหลุดออกไป ทำให้ยานแกว่ง
.
ผมมือเย็นเฉียบ กุมคันบังคับแน่น
.
จะออกไปนอกชั้นบรรยากาศได้ก่อนยานพังหรือเปล่า ?
.
เชื้อเพลิงผมจะพอพายานหลุดออกจากชั้นบรรยากาศได้จริงหรือเปล่า ?
.
ผมหลับตา นึกถึงบ้าน ที่ผมยอมแลกทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิตเพื่อให้ได้กลับไป
.
ย้อนนึกถึงสิ่งที่ทำมาทั้งหมดที่ผ่านมา
.
.
.
จริงสินะ ที่ผ่านมาผมทำทุกอย่างเท่าที่ผมจะทำได้จนหมดแล้ว
.
ผมทำดีที่สุดแล้ว
.
สิ่งที่เหลือ บางทีอาจเป็นโชคชะตา บางทีอาจเป็นความบังเอิญหรือ อะไรก็แล้วแต่ ผมคงไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้อีกแล้ว
.
.
.
สุดท้ายผมก็ได้รู้ ว่าการที่เราได้ทำ “เต็มที่” หรือยัง มันอาจสำคัญมากกว่าการ “ไปถึง”หรือเปล่า
.
ผมยิ้มกับตัวเอง คลายมือจากคันบังคับ
.
หลับตา.. เอ่ยคำอำลากับโลกใบสีฟ้าสวย
.
.
.
..ผมไม่กังวลอีกต่อไปแล้ว ว่าท้ายที่สุด ผมจะทำมันสำเร็จหรือเปล่า..
.
.
.
.
.
.
....................
ขอบใจนะ
ตอบลบ